เล่าสู่กันฟัง
ศึกษาดูงานประเทศมาเลเซีย-สิงคโปร์
24-28 มกราคม 2554
วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2554
เริ่มบรรยากาศเช้ามืดด้วยสายฝนเย็นชุ่มฉ่ำ ตามเวลานัดหมาย คือ 04.30 น. ล่าช้าไปนิดหน่อย (ตามธรรมดาเวลาคนไทย)ได้ออกเดินทางจริงๆเวลาประมาณ 05.00 (รู้สึกว่าจะกว่าๆด้วนน่ะ)แต่มิใช่ปัญหา ณ เวลานี้ไม่รู้สึกอะไรนอกจากความตื่นเต้น ในที่สุดคณะนักศึกษาและอาจารย์ก็ได้ฤกษ์เดินทางมุ่งหน้าสู่ด่านสะเดา จังหวัดสงขลา ระยะทางไกลพอสมควร จนลืมความตื่นเต้นไปเลย เหลือไว้เพียงความหิวๆแล้วก็หิว นั่งกระสับกระส่าย หันมองซ้ายมองขวาเห็นเพื่อนๆนั่งนิ่ง ตาลอย (เดาไม่ถูก) ว่าเพื่อนๆหิว หรือง่วงนอนกันแน่ ในที่สุดเวลาที่รอคอยก็มาถึง อาหารมื้อแรกของวัน มันคือ … “ข้าวมันไก่”… ที่กินยังไงๆ ก็อร่อยสู้ข้าวมันไก่บ้านเราไม่ได้ (ความรู้สึกส่วนตัวน่ะคร้า) ซึ่งเราก็กินไปบ่นไปเรื่อยๆ พร้อมกับรถที่วิ่งมุ่งหน้าสู่ด่านจังโหลนมาเลเซีย เพื่อให้เราประทับหนังสือเดินทาง พิธีการส่วนนี้ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี จากนั้นก็ออกเดินทางต่อ มุ่งหน้าสู่สถานที่ดูงานในประเทศมาเลเซีย
ด่านจังโหลน
ตลอดการเดินทางออกจากด่านจังโหลนก็นั่งมองสภาพแวดล้อมขณะที่รถวิ่งผ่านก็ไม่แตกต่างจากบ้านเราเท่าไร นั่งดูไปเรื่อยๆ รถก็วิ่งไปถึงสถานที่ดูงาน Sekolah Kebangsaan Kodiag school คราวนี้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกแล้วซิ คณะครูอาจารย์และเด็กนักเรียนมายืนรอรับที่หน้าโรงเรียนเยอะมาก (ใจเต้น..ตุ๊บๆ) แต่คนไทยเราซะอย่างยิ้มสู้ไว้ก่อน ที่น่าประทับใจคือ นักเรียนเตรียมชุดการแสดงไว้เพื่อต้อนรับพวกเราด้วย น่ารักมั๊กมากกก รองผู้อำนวยการกล่าวต้อนรับเราก่อนการแสดงจะเริ่ม จากนั้นเราก็แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม เพื่อแยกกันศึกษาความรู้แทบจะทุกซอกทุกมุมกันเลยทีเดียว สภาพโดยทั่วไปภายในโรงเรียนสะอาดสะอ้านร่มรื่นสบายตาดี โรงเรียนนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1932 มีครู 47 คน นักเรียนจำนวน 591 คน เป็นโรงเรียนที่สอน 3 ภาษา มีการเรียนวิชาการแค่ครึ่งวัน หลังจากนั้นก็จะเป็นการสอนศาสนา และยังส่งเสริมด้านกีฬาอีกด้วย พวกเราเดินสำรวจกันจนได้ข้อมูลแน่นปึ๊ก คณะครูและท่านรองผู้อำนวยการก็เชิญพวกเราไปที่อาคารประชุม เพื่อกล่าวต้อนรับอย่างอบอุ่นอีกครั้ง ก่อนที่จะเชิญให้พวกเรารับประทานอาหารเที่ยงที่โรงเรียน เมนูอาหาร คือ ข้าวหมกไก่ (รู้สึกว่าดวงจะสมพงษ์กับไก่) ส้มแมนดาริน แล้วก็มีน้ำสีคล้ายๆน้ำส้ม ที่กินแล้วไม่เหมือนน้ำส้ม (งงไปเลย) แต่ก็กินจนเกลี้ยง (แม้รสชาติจะไม่อิ่มลิ้น..แต่อิ่มที่หัวใจค่ะ) ในที่สุดก็ถึงเวลากล่าวลากันแล้ว คณะครูและนักเรียนเดินออกมาส่งพวกเราถึงรถ พร้อมกับโบกมือบ๊ายบ่ายกันจนสุดสายตา (ไม่ได้เวอร์น่ะค่ะ..เป็นเรื่องจริง)
|
บรรยากาสการศึกษาดูงาน |
ออกเดินทางอีกครั้ง เวลาประมาณ 13.40 น. แวะแลกเงิน ณ จุดแลกเปลี่ยนเงิน ก่อนมุ่งหน้าสู่เกาะปีนัง ข้ามสะพานปีนัง (Penang Bridge) ซึ่งเป็นสะพานที่ยาวที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระยะทาง 13.5 กิโลเมตร เป็นสะพานแขวนที่ยาวเป็นอันดับ 4ของโลก สร้างเมื่อปี 1985สมัย ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด (มหาเดย์) เป็นนายกรัฐมนตรี "เผลอแป๊บเดียวเวลาก็ล่วงเลยไปจนเย็นแล้ว" การเดินทางยามนี้ในเขตเมืองค่อนข้างช้าเพราะมีรถติดบ้างเป็นระยะๆ แต่ก็มีข้อดี เพราะเรามีเวลาเก็บเกี่ยวบรรยากาศบ้านเมืองที่สวยงาม ละลานตาไปด้วยตึกสวยรูปทรงแปลกๆ นั่งดูนั่น มองโน้นจนเพลิน รถก็พาเรามาถึงที่รับประทานอาหารเย็น ร้าน “Makananlaut” เป็นอาหารจีน ทานกันจนอิ่มแล้วออกเดินทางเข้าที่พัก โรงแรม Grand Continental เวลาประมาณ 4 ทุ่ม ก่อนจะแยกย้ายกันเข้าที่พักไกด์ได้นัดหมายเวลาเจอกันในตอนเช้า คือ 6.30 น (เป็นเวลาท้องถิ่นมาเลเซีย) ซึ่งเวลาที่มาเลเซียจะเร็วกว่าเวลาในประเทศไทย 1 ชั่วโมงค่ะ ลืมบอกไป..ไกด์คนเก่งของพวกเราชื่อ มุสตาฟา พวกเราเรียกสั้นๆ ว่าบังมุส ขอบอก… เสียงหล่อเชียว.....
วันอังคารที่ 25 มกราคม 2554
เริ่มต้นเช้าวันใหม่ในมาเลเซียด้วยอาหารแบบ บุฟเฟ่ ที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ มีให้เลือกรับประทานหลายอย่างตามความถนัด เหมือนๆโรงแรมในบ้านเรา พวกเราไม่รอช้ารีบกักตุนเสบียงกันจนเต็มท้อง ก่อนออกเดินทางเข้าชมป้อมปืนคอร์นวอลลิส (Fort CornWallis) และท่าเทียบเรือ Star Cruises เป็นการชมที่ใช้เวลาน้อยมาก ด้วยเวลาที่จำกัด แต่พวกเราก็ไม่พลาดที่จะเก็บความประทับใจมาฝาก
|
เรือเทียบท่าพอดี..เป้นโอกาสของเรา |
|
เวลาน้อยแต่แอคชั่นเต็มที่ |
ได้เวลาอาหารมื้อเที่ยงแล้ว สำหรับวันนี้พวกเราทานที่ร้าน Garden Restaurant ซึ่งก็เป็นอาหารจีนอีกตามระเบียบ บังมุสอธิบายให้พวกเราเข้าใจว่าทำไมต้องเป็นอาหารจีนนั้น เพราะคนมาเลเซียมี 3 เชื้อชาติ คือ จีน อินเดีย และชนพื้นเมืองอื่นๆ หากเราจะทานอาหารอินเดียหรืออาหารพื้นเมื่องอื่นๆกลิ่นเครื่องเทศจะแรงมาก พวกเราอาจทานไม่ได้ ก็เลยเลือกอาหารที่มีรสชาติกลางๆให้เรา นั่นก็คือ อาหารจีนนั่นเอง หลังจากเพลิดเพลินกับการชิมโน่นนิดนี่หน่อย ก่อนที่พวกเราจะมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงของมาเลเซีย กรุงกัวลาลัมเปอร์ ระหว่างการเดินพวกเราได้แวะชื่นชมความสวยงาม(ภายนอก)ของพระราชวังชาติอิสตาน่า เนการ่า เนื่องจากไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชมภายใน พวกเราทำได้เพียงถ่ายรูปกับทหารม้าซึ่งทำหน้าที่เฝ้าประตู ถึงแม้ว่าจะไม่มีรอยยิ้มของทหารแต่นักท่องเที่ยวก็แวะเวียนมาถ่ายรูปกันไม่ขาดสาย
|
พระราชวังชาติอิสตาน่า เนการ่า |
หลังจากวิ่งวุ่นถ่ายรูปกันจนเหงื่อตก ก็เดินทางต่อเพื่อเข้าชม จัตุรัสเมอร์เดก้า ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นจัตุรัสแห่งอิสรภาพและเอกราช เป็นสถานที่แห่งความภาคภูมิใจของชาวมาเลเซียที่ได้เป็นเอกราชไม่เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ เมอร์ดาก้าสแควร์ ใช้เป็นสถานที่จัดงานระดับชาติและงานเฉลิมฉลองในโอกาสต่างๆ จุดเด่นที่เป็นสัญลักษณ์คือ เสาธงที่เคยทำสถิติสูงที่สุดในโลก ด้วยความสูง 100 เมตร
|
จัตุรัสเมอร์เดก้า |
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราเดินทางต่อสู่สิ่งก่อสร้างสุดแสนอัศจรรย์ของชาวมาเลเซีย คือ ตึกแฝดเปโตรนาส (Petronas Twin Towers) ด้วยความสูง 451.9 เมตร 88 ชั้น จึงเป็นตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลก
|
ตึกแฝดเปโตรนาส |
ก่อนจะมุ่งตรงสู่เก็นติ้ง มหานครบนภูเขา พวกเราได้แวะ ร้านช็อคโกแลตเพื่อซื้อช็อคโกแลตที่มีชื่อเสียงติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก ติดไม้ติดมือเพื่อเป็นของฝาก จากนั้นก็เป็นการเดินทางที่แสนยาวไกลอีกครั้งประมาณ 5 ชั่วโมง แต่ถือว่าเป็นการรอคอยที่คุ้มค่ามากที่สุดตั้งแต่เริ่มเดินทางเข้ามาเลเซียมา เริ่มตั้งแต่เราเดินทางถึงบริเวณเชิงเขา(ทางขึ้นไปสถานี Cable Car ) ช่างเป็นบรรยากาศที่สุดแสนวิเศษ อากาศที่เริ่มรับรู้ได้ถึงความเย็น ลมพัดค่อนข้างแรง หมอกจางๆ ล่องลอยมากับสายลม สองข้างทางตระการตาไปด้วยแมกไม้ และพืชพันธ์โบราณสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้พบเห็นตลอดเส้นทาง จนลืมความชันและความคดเคี้ยวของถนนไปชั่วขณะเลยทีเดียว เมื่อเดินทางมาถึงสถานี Cable Car บรรยากาศยังสร้างความตื่นตาตื่นใจได้เหมือนเดิม แต่ความรู้สึกเริ่มเปลี่ยนไป ตอนนี้รู้สึกว่าจิตใจจะจดจ่ออยู่กับเจ้า CableCar พาหนะที่เราจะใช้เดินทางขึ้นสู่ยอดเก็นติ้ง ถึงแม้จะได้รับการยืนยันจากไกด์ และเพื่อนๆว่ามีความปลอดภัยสูงแต่ก็ยังรู้สึกหวั่นๆในหัวใจอยู่ไม่น้อย ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าตัดสินใจแน่วแน่ ข่มความกลัว เพื่อไม่ใช้เป็นที่ครหาแก่เพื่อนฟ้อง ..แล้ว Cable Car ก็ขยับเคลื่อนสูงขึ้นๆเพื่อนำผู้โดยสารไปสู่จุดหมายปลายทาง เริ่มรู้สึกว่าน่าจะตัดสินใจผิดน่ะ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ชีวิตฝากไว้บนสายเคเบิลเพียงเส้นเดียว กับความสูง 1,800 เมตร ทั้งเมฆ หมอก ทั้งสายลมที่ช่างพัดไม่เป็นเวล่ำเวลา
|
1800 เมตรเชียวนะ |
ใช้เวลาเดินทางรวมประมาณ 17 นาที แต่ในความรู้สึกเหมือนเวลาช่างยาวนานเหลือเกิน แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ขึ้นมาแล้วขอก้มลงมองบรรยากาศด้านล้างสักหน่อยเถอะ "..โอ้ แม่เจ้า!…"ไม่อยากจะเชื่อมันสูงมั๊กมาก ใจหายวาบ หล่นไปอยู่ตาตุ่ม นึกถึงพ่อแก้วแม่แก้วขึ้นมาทันที ในที่สุดก็ถึงที่หมายซะที(รู้สึกโล่งมากถึงมากที่สุด) แต่ไม่มีเวลาเข่าอ่อนแม้แต่น้อย หลังลงจาก Cable Car ก็ต้องรีบจ้ำอ้าวเดินตามไกด์ เพื่อเข้าที่พัก เดิน(กึ่งวิ่ง)ๆแล้วก็เดิน(กึ่งวิ่ง) ไกลมาก (ทำไมต้องรีบขนาดนี้)ไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้ถาม หรือไม่ก็จุกจนถามไม่ออกก็อาจเป็นได้ ..อิอิ จากที่เหนื่อยเต็มที่คราวนี้ก็ถึงเวลาอาหารเย็น เป็นอาหารบุฟเฟ่ มื้อใหญ่ ที่อร่อยและหลากหลายที่สุดตั้งแต่ได้พบเจออาหารในมาเลเซียมา ที่แน่ๆ มีน้ำพริกกะปิที่รสชาติบ้านเรามากๆ รู้สึกเหมือนนั่งกินข้าวเย็นกับแม่ที่บ้านไม่มีผิด มีความสุขมากๆเลย
|
ฝากชีวิตไว้บนสายเคเบิล |
เมื่อหนังท้องตึง แต่หนังตาไม่หย่อนเก็บข้าวขอเข้าห้องพัก แล้วออกมาตระเวณชมบรรยากาศ บริเวณโรงแรม First World แวะชมบ่อนกาสิโนนิดหน่อย แต่ไม่ได้ลองเสี่ยงโชค จากนั้นก็กลับเข้าห้องพัก อ่อ ..ลืมบอกไปนิด ภายในโรงแรมไม่มีเครื่องปรับอากาศ เพราะอากาศเย็นมากอยู่แล้วนั่นเอง พอหัวถึงหมอนก็ไม่มีเวลาฝันถึงเจ้าชายแม้แต่น้อย หลับปุ๋ย…!
วันพุธ ที่ 26 มกราคม 2554
รับประทานอาหารเช้า ณ ภัตตาคารของโรงแรม First World แล้วก็ลงไปที่จุดนัดหมาย ไกด์ บังมุส เสียงหล่อทักพวกเรา ซาลามัดปากี (สวัสดีตอนเช้า) ก่อนจะแจ้งให้เราทราบว่าเราต้องเดินทางลงจากเก็นติ้งด้วยรถบัส เนื่องจากกระเช้างดให้บริการ (เฮ้อ..แอบโล่ง) ระหว่างรอรถบัสเราก็ดึ่มด่ำกับบรรยากาศยามเช้าที่สุดแสนจะวิเศษ ที่มีเมฆหมอกปกคลุมทั่วบริเวณ
|
บรรยากาศยามเช้าบนเก็นติ้ง |
ตลอดเส้นทางที่เรานั่งรถบัสลงมา ก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวังเลย เป็นบรรยากาศเหมือนในนิยาย เหมือนดินแดนสวรรค์ ถือว่าเป็นการเดินทางที่คุ้มค่ามากๆ ระหว่างที่มองชื่นชมธรรมชาติข้างทางไปเรื่อยๆ ภายในจิตใจก็นึกชื่นชมผู้ก่อตั้งเก็นติ้งเสียเหลือเกิน ช่างมีความคิดที่กว้างไกลและสร้างสรรค์ดีแท้ “ข้าน้อยขอคารวะ” ท่านลิ้มโกตง ผู้สร้างอาณาจักรเก็นติ้ง ไฮแลนด์
หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศและธรรมชาติที่สวยงามร่มรื่นจนขบวนรถพาเราถอยห่างออกจากเก็นติ้ง คงเหลือไว้เพียงความทรงจำ ทีรอเวลาจะได้กลับมาเยือนเก็นติ้งอีกครั้ง และแล้วเราก็เดินทางต่อไป แวะ Shopสินค้าที่ร้านดิวตี้ฟรี และร้านขนม รับประทานอาหารเที่ยงที่ Malaysia Kitchen ซึ่งเราก็รู้ๆกันอยู่แล้วว่าเมนูอาหารมีอะไรบ้าง แล้วก็ไม่ผิดหวัง เต้าหู้ ปลาราดพริก ผัดผักบุ้งใส่กะปิ ไข่เจียว (ทุกมื้อก็มีประมาณนี้แหละ) ไม่รอช้าเรารีบจัดการกับอาหารด้วยความรวดเร็ว แล้วเดินทางสู่เมืองปุตราจาย่า แวะชมตึกรัฐสภา และ มัสยิดสีชมพู ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน สิ่งก่อสร้างภายในเมืองปุตราจาย่า ล้วนออกแบบได้สวยงาม อลังการด้วยสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของศิลปะแบบอิสลาม
|
มัสยิดสีชมพู |
|
ตึกรัฐสภา |
รับประทานอาหารค่ำ ก่อนเดินทางต่อมุ่งหน้าสู่โยโฮบารูเมืองชายแดนติดกับประเทศสิงคโปร์ถึงด่านแจ้งหนังสือเดินทางออกจากมาเลเซียเพื่อเข้าสู่ประเทศสิงคโปร์ที่ด่านวู๊ดแลนด์ค่อนข้างวุ่นวายนิดหน่อย เนื่องจากสิงคโปร์มีความเข้มงวดในการเดินทางเข้าประเทศมาก แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี พวกเราบางส่วนเข้าสู่ที่พัก AQUEEN HOTEL บางส่วนต้องแยกไปพักอีกโรงแรมใกล้ๆกันเพราะห้องพักไม่พอ ห้องพักในสิงคโปร์มีความสะดวกสบายและทันสมัยมาก
วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม 2554
รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม แล้วไปเดินย่อยอาหาร บริเวณ Merlion สัญลักษณ์ของสิงคโปร์ ซึ่งมีหัวเป็นสิงโตตัวเป็นปลา ที่ตั้งอยู่ตรงปากอ่าว Marina Bay ตรงข้ามกับตึกรูปทรงทุเรียนที่เรียกกันว่า Esplanard ตึกใหม่ที่เป็นที่แสดงละครและการละเล่นต่างๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยตึกและอาคารที่สวยงาม เราไม่พลาดที่จะเก็บภาพความประทับใจกลับมา
|
esplanard |
|
merlion |
เดินทางกันต่อ แวะ Shop ที่ร้านดิวตี้ฟรี บริเวณถนออร์ชาร์ด Shop กันจนขาแทบลาก ได้ข้าวของติดไม้ติดมือมาคนล่ะชิ้นสองชิ้นเพื่อเป็นทีระลึกและเป็นของฝากเท่านั้น เนื่องจากราคาที่แพงกว่าในประเทศไทยสองถึงสามเท่าเลยทีเดียว ตบท้ายการเดินช้อปปิ้งด้วยอาหารมื้อเที่ยง (ซึ่งไม่ต้องสงสัย..มันคืออาหารจีน)ตามระเบียบเราก็กินไปบ่นไปอีกตามระเบียบเช่นกัน
|
เกาะเซ็นโตซ่า |
เดินทางสู่ เกาะเซ็นโตซ่า (Sentosa) ชมยูนิเวอร์เซล ชมภาพยนตร์ 4 มิติ ( 4D ) ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับพวกเรามาก เพราะมันค่อนข้างสมจริง จนเผลอ กรี๊ดออกมาหลายครั้ง…อิอิ แต่ไม่ต้องอายเพื่อนๆหรอก เพราะเพื่อนกรี๊ดดังกว่าเราอีก จากนั้นก็นั่งรถไฟฟ้า ชมบรรยากาศภายในที่ร่มรืนสบายตาจนตกเย็น รับประทานอาหารเย็น(เมนูอาหารเหมือนๆเดิมค่ะ) ทานอาหารอิ่มเราก็เดินชมบรรยากาศบริเวณนั้นกันต่อทันที เพื่อฆ่าเวลาที่จะเข้าชมน้ำพุเต้นระบำ Song of the sea เป็นการแสดงที่ตื่นตาตื่นใจมาก เราเก็บภาพความทรงจำบางส่วนไว้เป็นที่ระลึก แล้วก็ไปล่องเรือชมอ่าวสิงคโปร์ ยามคำคืนที่สวยงามตระการตาไปด้วยแสงไฟจากตึกรูปทรงแปลกๆ สร้างความเพลิดเพลินให้ผู้พบเห็นไม่น้อย หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศยามค่ำคืนที่แสนจะโรแมนติกกันแล้ว เราเดินทางออกจากสิงคโปร์กลับสู่ประเทศมาเลเซีย เข้าพักโรงแรม Selasa
|
น้ำพุเต้นระบำ |
|
นั่งเรือชมบรรยากาศยามค่ำยืน |
วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2554
รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม Selasa ด้วยอาการเบลอๆ สืบเนื่องมาจากการนอนไม่ค่อยหลับ เมื่อคืนนี้ สาเหตุเกิดจากหลายประการด้วยกัน คือ โรงแรมที่เราเข้าพักถือว่าเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ ภายในห้องก็กว้างขวาง มีเตียงถึงสองเตียงด้วยกัน เป็นเตียงใหญ่ 6 ฟุต หนึ่งเตียง และเป็นเตียงเล็ก 3 ฟุต หนึ่งเตียง และแล้วเราก็เป็นผู้โชคดีได้นอนเตียงใหญ่(แต่ไม่ค่อยดีใจเท่าไรนัก) แม้ภายในห้องจะกว้างมาก แต่ก็เก่ามากๆเช่นกัน ปกติเป็นคนไม่กลัวผีไทย ( แต่ไม่เกี่ยวกับผีมาเลเซีย) ดกดึกสภาพภายในห้องเริ่มวังเวง เย็นยะเยือกยังไงบอกไม่ถูก จนต้องลุกขึ้นมาเปิดไฟไว้หนึ่งดวง ตาก็คอยมองเหลือบไปที่ที่นอนที่เป็นที่ว่าง เป็นแบบนี้อยู่ตลอดเกือบทั้งคืน จนทนไม่ไหวต้องไปยกกระเป๋าเสื้อผ้ามาวางเพื่อไม่ให้ที่นอนว่าง ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อยได้หลับนิดหน่อยในช่วงใกล้ๆ เช้าแล้ว เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จก็รีบออกเดินทาง มุ่งหน้าตรงสู่ประเทศไทยทันที ระหว่างทางแวะรับประทานอาหารเที่ยง (ซึ่งเป็นอาหารจีนเหมือนเดิม) แวะซื้อสินค้า ร้านดิวตี้ฟรี ก่อนเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย รับประทานอาหารเย็นตามอัธยาศัยในประเทศไทย ระหว่างการเดินทางพวกเราก็ร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน ยกเว้นบางคนที่นั่งเฉยๆบ้าง นอนหลับบ้าง ก็น่าพอจะเดาได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด…อิอิ และแล้วก็เดินทางถึงมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราชในที่สุด เวลาประมาณ 5 ทุ่มกว่าเห็นจะได้ เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางที่ทรงคุณค่ามากมายในด้านความรู้สึก ความทรงจำ และการนำไปใช้
โดย นุชนาถ พรหมนาเวช
.....ซาลามัดปากี (สวัสดีตอนเช้า) เสียงทักทายทุกครั้งที่จับไมค์ของบังมุส เสียงหล่อ ….